ฟุตบอลต่างประเทศ

ฟุตบอลต่างประเทศ Van Der Vaart เจ้าชายดัตช์แห่งโลกฟุตบอล โลกความจริงที่โหดร้าย

ฟุตบอลต่างประเทศ มีไม่กี่คนในโลกของฟุตบอล ที่จะถูกเรียกว่า เจ้าชาย ผมเคยตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมบางคนถึงเป็นเจ้าชาย แต่บางคนถึงเรียกกันเป็นแค่ นักฟุตบอลธรรมดาคนหนึ่ง เท่าที่เติบโตมา บทความกีฬาที่น่าสนใจ

และได้ติดตามดูบอลมาไม่มากก็น้อย สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมวิเคราะห์ว่า คุณสมบัติของการจะถูกเรียกว่า “เจ้าชาย” ในโลกของฟุตบอล ประการแรกก็คือ ความเป็นซุปเปอร์สตาร์  รายชื่อ Golden Boy ตอนนั้นมีเขา และ เอ็ด วิน ฟาน เด อ ร์ ซาร์ รวมถึงเพื่อนร่วมรุ่นอีกหลายคนด้วย

ซึ่งเจ้าความซุปเปอร์สตาร์ มีองค์ประกอบหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นฝีเท้า ที่เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก หากคุณไม่มีฝีเท้าที่โดดเด่น คุณก็ขาดคุณสมบัติเบื้องต้น ของการจะถูกเรียกว่า เจ้าชาย ไปเสียแล้ว

ฟุตบอลต่างประเทศ

ประการต่อมา คือ หน้าตา บุคลิกภาพ ก็อย่างว่า คำว่าเจ้าชาย หากไร้ซึ่งความสง่างาม ภาพลักษณ์ ที่ชวนให้สาวๆ เพ้อฝันถึง แค่เพียงฝีเท้า ก็ยังไม่สามารถครบองค์ประกอบ ที่จะทำให้สามารถเรียกว่า เจ้าชาย ได้เลย

แต่องค์ประกอบพิเศษ อีกเรื่องที่ทำให้ คนหน้าตาดี บุลคลิกดีบางคน ไปไม่ถึงคำว่าเจ้าชายก็คือ บุคลิกเฉพาะตัว ที่โดดเด่น และ มีภาพจำที่ต้องน่าจดจำอีกด้วยหาก Franchesco Totti ถูกขนานนามว่า “เจ้าชายหมาป่า” Rafael Van Der Vaart ก็คือ เจ้าชาย แห่ง Ajax Amsterdam ในสมัยนั้น ด้วยหน้าตาก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ Van Der Vaart กลับมีมากกว่านั้น

ด้วยความที่เป็น คนมีบุคลิกสง่างาม ทำให้ Van Der Vaart เป็นจุดเด่นมากกว่านักเตะลูกหม้อรายอื่น ซึ่งยุคนั้นยอดนักเตะอย่าง Wesley Sneijder เป็นเพื่อนร่วมรุ่นมาด้วยกัน ขนาดฝีเท้าที่น่าชื่นชม แต่ก็กลับไม่ถูกเรียกว่า เจ้าชาย แตกต่างกับ ฟาร์ท ได้รับการยกย่องถึงขั้น “เจ้าชาย” สิ่งที่แตกต่างก็น่าจะไม่พ้นเรื่อง “ภาพจำ” ฟุตบอลต่างประเทศ

แต่สิ่งนั้นก็เป็นเหมือนดาบสองคม ซึ่งหลังจากเขาย้ายออกจาก Ajax ตัวเขาเองยังติดภาพ กับตนเองว่ายังเป็นเจ้าชาย แต่ในโลกความจริงก็ทำให้เขาเจ็บปวดไม่น้อย เพราะมีแค่ Ajax เท่านั้น ที่มอบความสง่างามให้เขา ทำให้เขารู้สึกเหมือนเจ้าชาย แต่สิ่งนั้นในมุมมองของสโมสรอืน เขาไม่ได้เป็นขนาดนั้น

ฟุตบอลต่างประเทศ ในวันที่เขาย้ายออกจากสโมสร ไม่ว่าจะไปสเปนที่ เรอัล มาดริด เขาก็เริ่มเจอมรสุมของการได้รู้ว่า ตัวเองไม่ใช่เจ้าชายอีกต่อไป และแล้วเส้นทางการค้าแข้งเขาก็เริ่มระส่ำ ไม่ว่าจะฟอร์มการเล่น ที่ทุกคนคาดหวังว่าเจ้าชาย น่าจะทำได้ดีมากกว่านี้ มันจึงเป็นกระจกสะท้อน ตัวเขาให้พบโลกความจริงแบบไม่รู้ตัว

นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขา เริ่มประสบปัญหา ทั้งชีวิตส่วนตัว และ การเล่นฟุตบอล แม้ชีวิตที่เหมือนดังเจ้าชายของเขา รวมถึงการได้มีชีวิตคู่กับดาราสาว ชื่อดังในประเทศฮอลแลนด์ ซิลเวียร์ แต่สุดท้ายเขาก็ประสบปัญหาชีวิตคู่ แล้วที่สำคัญยังมีข่าวฉาวโฉ่ว ที่เขาไปตบหน้าทำร้ายภรรยา จนเกิดเป็นคดีหย่าร้างกันขึ้นมาจริงๆ

แล้วสุดท้ายชีวิตคู่ของเจ้าชาย ในการเล่นฟุตบอลต่างประเทศ ตอนแรกก็ประสบความล้มเหลว ความเป็นเจ้าชาย ก็ดูจะเลือนลางลงไปทุกที แต่ก้ยังดีที่เขาก็ยังรัเขาก้มีความรักฟุตบอลมากพอ มากพอที่จะทำให้เขายังเข้มแข็งพอจะก้าวต่อไป ในเส้นทางฟุตบอลอาชีพ แล้วเขาก็ทำได้อีกครั้ง ในการกลับมาเป็นคนสำคัญในทีม Hamburger SV (Bundesliga) สามารถระเบิดปอร์ม กลับมาเป็นเจ้าชายทีสง่างาม ในแผ่นดินเยอรมันอีกครั้ง

แม้ชีวิตคู่จะล้มเหลว แต่ฟุตบอลก็ยังเยียวยาเขาได้ ซึ่งดูแล้วในเวลานั้น เขาก็เริ่มกลับมามีพลัง และความสุขอีกครั้ง เป็นกองกลางเป็นจุดศูนย์กลางกัปตันทีม รวมถึงการรับบท ผู้สร้างสรรค์เกม Play Maker เขาก็รู้สึกกระชุ่มกระชวย รวมถึงฟอร์มการเล่นระดับเจ้าชาย ที่เหมาะสมอีกครั้งหนึง เราจึงกลับมาได้เห็นลูกยิง หรือ การเล่นสวยงาม คลาสสิค อีกครั้งหนึ่ง

แต่ความสวยงาม ย่อมมีที่สิ้นสุดเสมอ ในที่สุดเขาก็ย้ายไปสานฝันต่อที่เกาะ อังกฤษกับทีม Tottenham Hotspur เขาก็ยังสามารถรักษา ความมีมาตรฐานได้ดี ตํา นาน ส เปอร์ ส ที่ยังคงความเป็นเข้าชาย แค่เพียงแต่การเป็นเจ้าชาย นอกอาณาจักรตนเอง ทำให้เขาเรียนรู้แล้วว่า ไม่ง่ายเลย เพราะคุณอาจกลายเป็นแค่อากาศ ในสายตาแฟนบอล ส เปอร์ ส

ที่เขาไม่ได้สนใจว่าคุณ เป็นเจ้าชายมาจากไหน จะว่าไปในเรื่งอีโก้สมัยเขาอยู่ Ajax เขาทำให้ Slatan Ibrahimovic หมันไส้ จนทั้งสองคนไม่กินเส้นกันตั้งแต่สมัยอยู่ Ajax Amsterdam ซึ่งต้อฃบอกตามตรงว่า ความเป็นเจ้าชายในตอนนั้น ยังทำให้ผุ้คนยังมองเขาในแง่ดีมากกว่า แต่หลังจากที่เขามีปัญหาเรื่องทำร้ายร่างการภรรยา

ดุเหมือนเขาจะทำตัวเป็นคนธรรมดามากขึ้น ยอมรับความจริง และ สำออยน้อยลง ในสายตาผู้เขียนก็บอกตามตรง ว่าค่อนข้างจะมองว่า เขาทำตัวสำออยเหมือนกันในวันก่อนๆ ที่คนยังคงชื่นชม ทำให้เขาดูมีอีโก้ เจ้าสำอางค์ ทำตัวพิเศษเหนือคนอื่น แตะต้องไม่ค่อยได้พอสมควร ก็ถือว่าโชคดี ที่ความเป็นเจ้าชายของเขา ไม่ไปทำให้สลาตัน อารมณ์หลุดถึงขั้นตบกระโหลกเขา

ฟุตบอลต่างประเทศ

แต่อิทธิพลของเขาก็ไม่น้อย ถึงขนาด สลาตัน ยอมย้ายทีมออกไปก่อน เพราะส่วนหนึ่งก็ไม่ถูกชะตาแล้ว กับเจ้าชายแห่ง Ajax แต่สลาตันก็มีจิตใจ ที่กร้าวแกร่งกว่า ถ้าเทียบกันก็ต้องยอมรับว่า สลาตัน ไปได้ไกลและน่าจดจำมากกว่า กว่าตัวของ Vaart จะออกมาเติบโตนอกเหนืออาณาจักรตนเอง

สลาตันก็ไปได้ไกลเสียแล้ว หากเปรียบก็เหมือน คนหนึ่งเหมือนเด็กที่เติบโตจากความลำบาก แบบสลาตัน ที่ต้องสู้ทุกอย่างด้วยลำแข้งตนเองกับ ลูกคุณหนูที่มีแต่คนคอยโอ๋ ดังนั้นจิตใจมีส่วนสำคัญ ในการออกมาเผชิญโลกภายนอก เส้นทางลูกหนังก็เช่นกัน ฟาร์ทเขายังดูอ่อนโลก และ บอบบางกว่า สลาตันมากในสายตาผู้เขียน ฟุตบอลต่างประเทศ

แต่เจ้าชายหนุ่ม ที่เดินทางออกจากอาณาจักรตน เพื่อเอาชนะใจตัวเอง ในสโมสรต่างถิ่น ในที่สุดดินแดนเยอรมัน ก็เป็นดินแดนที่เขาปักหลัก รากฐานของเขาได้อีกครั้ง กลังจากที่ค่อนข้างเรียกได้ว่า ล้มเหลวจากการโดนกดดันที่ เรอัล มาดริด เขาถูกมองเป็นของปลอมทำเหมือน แฟนบอลสเปนคาดหวังเขาว่าจะพิเศษกว่านั้น

เขาก็ถูกมองว่าไม่ถึงกับเป็นนักเตะเกรดเอ แต่ไม่ต่างกับตัวผู้เล่นระดับ บีบวก หรือซี ในสายตาแฟนบอลที่นั่น หากแต่ในเยอรมันเขาดูเป็นคนสำคัญมากกว่า รวมถึงดูพิเศษจริงๆ แม้กระทั่งในอังกฤษ ซึ่งก็น่ายินดีไปกับเขาที่เขากลับมา ประสบความสำเร็จอีกครั้งหนึ่งจนได้ อย่างว่าเจ้าชายก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง

ฟาร์ท เรียนรู้ชีวิตมากขึ้น และต้องขอบคุณความเป็นคนฉลาดมีไหวพริบของเขา ที่เขาปรับตัวได้และยอมรับในตัวเองได้ เจ้าชายก็ยังคงเป็นเจ้าชาย ถึงแม้อาจจะเป็นเจ้าชายที่เคยตกอับบ้าง แต่สุดท้ายความมีคลาส ก็ยังติดตัวเขาเสมอมา ในความเย่อหยิ่ง ก็ยังมีความน่าเกรงขาม สง่างามในตัวเขาซ่อนอยู่เสมอ

เรื่องราวการเดินทางก็จบแบบสวยงาม ตามความเหมาะสม ในศักดิ์ศรีเจ้าชายแดนกังหันลมคนนี้ ถือว่าเป็นเรื่องราวที่น่าตื่นเต้น ของเจ้าชายสายดาร์คคนหนึีงเลย เพราะเขายังมีความกล้าออกจาก ดินแดนของตนเอง แสวงหาความท้าทายใหม่ๆ กล้าพอจะผิดหวัง แกร่งพอจะยอมรับ และ เดินต่อไปในเส้นทางของตนเอง

สุดท้ายจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า เจ้าชาย ไม่ใช่ฉายาที่บังเอิญที่ได้มา แต่เขาก็พยายามรักษามันไว้ ด้วยเกียรติและศํกดิ์ศรี เท่าที่จิตวิญญาณเขามีในโลกฟุตบอล ซึ่งเขาก็พิสูจน์มันจนได้

“เด็กเนิร์ดสีส้ม”